Google รองรับองค์ประกอบของลักษณะที่น่าสนใจที่ปรากฏในการค้นหามากมายหลายองค์ประกอบซึ่งคุณนำมาใช้กับหน้าเว็บในผลการค้นหาได้ดังนี้
Google Search สร้างผลการค้นหาเหล่านี้บางประเภทขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่คุณจะเขียนโค้ดไว้ในเว็บไซต์เพื่อแสดงผลการค้นหาประเภทต่างๆ โดยส่วนใหญ่ได้ดังที่เราจะอธิบายต่อไป ตอนนี้จะขอกล่าวถึงหมวดหมู่ทั่วไปของผลการค้นหาก่อน
หมวดหมู่ทั่วไปของผลการค้นหา
ผลการค้นหาของ Google Search มีฟีเจอร์การแสดงผลหลายประเภทด้วยกัน ลักษณะที่ผลการค้นหาปรากฏจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาผ่านไปและผลการค้นหาอย่างเดียวกันจะแสดงต่างกันได้โดยขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังดูในคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปหรือโทรศัพท์ ประเทศที่คุณอยู่ หรือปัจจัยอื่นๆ อีกหลายปัจจัย Google พยายามแสดงผลการค้นหาในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ค้นหามากที่สุด ผลการค้นหาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดหมู่ทั่วไปดังต่อไปนี้
ลิงก์สีน้ำเงินแบบปกติ
นี่คือลิงก์แบบดั้งเดิมซึ่งทุกคนรู้จักกันดี คำว่า "ลิงก์สีน้ำเงินแบบปกติ" ไม่ใช่คำที่เป็นทางการ แต่มักใช้กันทั่วไปในเอกสารที่ไม่ใช่เอกสารทางการของเรา (ที่จริงแล้วผลการค้นหาประเภทนี้ไม่มีชื่อทางการ)
ผลการค้นหาประเภทนี้ประกอบด้วยคอมโพเนนต์ทั่วไปหลายอย่างซึ่งพบในผลการค้นหาประเภทอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ดังนี้
- ชื่อ - ชื่อของเว็บไซต์ ซึ่ง Google กำหนดชื่อที่เหมาะสมให้เว็บไซต์โดยอิงตามลักษณะเฉพาะต่างๆ มากมาย แต่คุณระบุชื่อที่ต้องการได้ในแท็ก <title>
- URL - URL ของผลการค้นหา คุณอาจต้องการระบุเบรดครัมบ์สำหรับหน้าเว็บด้วย
- ตัวอย่างข้อมูล - คำอธิบายหน้าเว็บซึ่งอัลกอริทึมของ Google สร้างขึ้น อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำให้หน้าเว็บมีตัวอย่างข้อมูลที่เหมาะสม
การเพิ่มประสิทธิภาพ
ผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์
ผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์คือผลการค้นหาที่มีองค์ประกอบซึ่งเป็นกราฟิก เช่น ดาวในการรีวิว ภาพขนาดย่อ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพบางอย่างด้วยภาพ ผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์จะแสดงแบบเดี่ยวๆ ในผลการค้นหาได้ดังตัวอย่างด้านล่าง
ผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์บางประเภทอาจแสดงอยู่ในผลการค้นหาแบบภาพหมุนได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์มีอยู่หลากหลายแบบ ซึ่งผลการค้นหาส่วนใหญ่จะลิงก์กับเนื้อหาเฉพาะบางประเภทที่แสดงอยู่ (หนังสือ ภาพยนตร์ บทความ ฯลฯ) ลักษณะที่ปรากฏบางอย่างจะเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจาก Google จะคอยปรับแต่งการจัดวางและลักษณะการทำงานของผลการค้นหาแต่ละประเภทให้เหมาะสมที่สุด ผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ที่ให้รายละเอียดมากขึ้นจะเรียกว่าผลที่สมบูรณ์ขึ้นและโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ในระดับสูง
ในกรณีส่วนใหญ่ คุณจะให้ข้อมูลสำหรับฟีเจอร์ของ Search ด้วยการใส่ข้อมูลที่มีโครงสร้างในโค้ดที่เขียนขึ้นสำหรับหน้าเว็บ โดย Google จะประมวลผลข้อมูลนี้เมื่อรวบรวมข้อมูลหน้าเว็บนั้นๆ เมื่อคุณให้ข้อมูลที่มีโครงสร้างสำหรับฟีเจอร์หนึ่งๆ ในหน้าเว็บแล้ว หากฟีเจอร์หรือข้อมูลที่ขอนั้นให้ประสบการณ์ในการค้นหาที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้ได้ ฟีเจอร์หรือข้อมูลดังกล่าวจะปรากฏในผลการค้นหาของ Google Search, Assistant, Maps หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Google ได้ หน้าต่างๆ ในเอกสารนี้จะกล่าวถึงลักษณะการทำงานใน Google Search เท่านั้น
ข้อมูลที่มีโครงสร้างไม่เพียงแค่ใช้ระบุฟีเจอร์การค้นหาเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ Google เข้าใจและนำเสนอข้อมูลในเว็บไซต์ด้วยวิธีใหม่ๆ ที่น่าสนใจ (เช่น การดำเนินการของ Assistant) เพื่อให้ได้ผลการค้นหาที่ดียิ่งขึ้น (เช่น ทำให้ผู้ใช้ค้นหาสูตรอาหารที่มีส่วนผสมเป็นเนื้อไก่หรือสูตรที่ให้พลังงานไม่ถึง 500 แคลอรีได้) หรือเพื่อเก็บข้อมูลไว้ในการ์ดข้อมูล
รายการการ์ดข้อมูล
การ์ดข้อมูลของ Google คือชุดข้อมูลจากหน้าเว็บ 1 หน้าขึ้นไปซึ่งแสดงเป็นผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์พร้อมด้วยรูปภาพ ข้อความ และลิงก์ต่างๆ การแยกแยะความแตกต่างของลักษณะที่ปรากฏระหว่างการ์ดสื่อสมบูรณ์และผลการค้นหาที่เป็นการ์ดข้อมูลอาจเป็นเรื่องยาก ผลการค้นหาที่เป็นการ์ดข้อมูลอาจรวมถึงข้อมูลประจำตัว (โลโก้ ชื่อเว็บไซต์ที่ต้องการ) การ์ดข้อมูลอาจนำเข้าข้อมูลโดยใช้องค์ประกอบของ schema.org แบบใดก็ได้แม้จะไม่ได้อธิบายองค์ประกอบนั้นไว้ในเอกสารนี้ก็ตาม
ตัวอย่างข้อมูลแนะนำ
ผลการค้นหาแบบ OneBox
Discover
ทำไมจึงต้องระบุฟีเจอร์ของ Search สำหรับหน้าเว็บ
การใส่ฟีเจอร์ของ Search จะให้ผลการค้นหาที่ดึงดูดใจผู้ใช้มากขึ้นได้และอาจกระตุ้นให้ผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นด้วย ต่อไปนี้เป็นกรณีศึกษาของเว็บไซต์ที่ใช้ฟีเจอร์การค้นหา
- Rotten Tomatoes ใส่ฟีเจอร์การค้นหาลงในหน้าเว็บที่ไม่ซ้ำกัน 100,000 หน้า หลังจากนั้นหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพด้วยข้อมูลที่มีโครงสร้างมีอัตราการคลิกผ่านสูงกว่าหน้าที่ไม่มีข้อมูลที่มีโครงสร้าง 25%
- Food Network แปลงหน้าเว็บ 80% จากทั้งหมดเพื่อใช้ฟีเจอร์การค้นหา และมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น 35%
- Rakuten พบว่าผู้ใช้ใช้เวลาบนหน้าเว็บที่ใช้ฟีเจอร์การค้นหามากกว่าในหน้าที่ไม่มีข้อมูลที่มีโครงสร้าง 1.5 เท่า และหน้า AMP ที่มีฟีเจอร์การค้นหามีอัตราการโต้ตอบสูงกว่าหน้า AMP ที่ไม่ใช้ฟีเจอร์ดังกล่าว 3.6 เท่า
- Nestlé พบว่าหน้าเว็บที่แสดงเป็นผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ในการค้นหามีอัตราการคลิกผ่านสูงกว่าหน้าที่แสดงเป็นผลการค้นหาที่ไม่ใช่สื่อสมบูรณ์ 82%
ฟีเจอร์ใดบ้างที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดสำหรับหน้าเว็บหรือเว็บไซต์ของฉัน
ฟีเจอร์บางอย่างเหมาะสมหรือใช้ได้เฉพาะกับข้อมูลบางประเภทในเว็บไซต์เท่านั้น เช่น ดาวในการรีวิวใช้ได้กับสูตรอาหาร แต่ใช้กับชุดข้อมูลไม่ได้ ฟีเจอร์อื่นๆ จะใช้ได้เฉพาะกับอุปกรณ์บางประเภท (อุปกรณ์เคลื่อนที่หรือเดสก์ท็อป) เท่านั้น ตารางต่อไปนี้แสดงฟีเจอร์ที่คุณอาจต้องการใช้โดยพิจารณาจากเนื้อหาของหน้าเว็บหรือเว็บไซต์ บางฟีเจอร์จะใช้กับทั้งเว็บไซต์ และบางฟีเจอร์จะเลือกใช้กับหน้าเว็บแต่ละหน้าได้ หน้าแกลเลอรีแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับแต่ละฟีเจอร์
ประเภทเนื้อหาของคุณคือ... | ฟีเจอร์และการเพิ่มประสิทธิภาพที่แนะนำ |
---|---|
บทความ/บล็อก | บทความ, AMP, ตรวจสอบข้อเท็จจริง, วิธีการ, คำที่ใช้พูดได้, การสมัครใช้บริการและเนื้อหาเพย์วอลล์ |
หนังสือ | หนังสือ รีวิว |
การศึกษา | หลักสูตร ภาพหมุน ชุดข้อมูล |
ความบันเทิง/สื่อ/ข่าว | ภาพหมุน เหตุการณ์ ตรวจสอบข้อเท็จจริง สตรีมสด ภาพยนตร์ รีวิว การสมัครใช้บริการและเนื้อหาเพย์วอลล์ วิดีโอ (และวิดีโอสตรีมสด) พอดแคสต์ (ดูแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับวิดีโอด้วย) |
ธุรกิจ | ข้อมูลประจำตัวของธุรกิจหรือบริษัท ธุรกิจในพื้นที่ (สำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านจริง) รายการสถานที่ยอดนิยม |
เหตุการณ์ | เหตุการณ์ วิดีโอ และวิดีโอสตรีมสด |
สูตรอาหาร | สูตรอาหาร, ภาพหมุน, AMP, รีวิว |
ผลิตภัณฑ์ | ประเภทผลิตภัณฑ์ รีวิว แอปซอฟต์แวร์ คำถามที่พบบ่อย |
องค์กรด้านวิทยาศาสตร์หรือการค้นคว้าวิจัย | ชุดข้อมูล |
เนื้อหาเกี่ยวกับงาน | การประกาศรับสมัครงาน อาชีพ คะแนนรวมของนายจ้าง |
ประเภทใดก็ได้ |
|
Google นำเสนอวิธีต่างๆ มากมายในการช่วยให้คุณระบุรายละเอียดทางธุรกิจที่สำคัญเพื่อให้ปรากฏต่อผู้ใช้ในผลการค้นหาของ Search ข้อมูลประจำตัวของบริษัทเป็นวิธีหนึ่งที่ธุรกิจใช้ในการระบุชื่อเว็บไซต์ที่ต้องการและโลโก้ รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ของบริษัทให้ Google ทราบ
คุณอ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของหรือจัดการข้อมูลในการ์ดข้อมูลสำหรับธุรกิจหรือบุคคลทั่วไปได้เช่นกัน
ธุรกิจที่มีหน้าร้านจริงอาจต้องการใส่ข้อมูลหน้าร้านจริงไว้ด้วย นอกจากนี้คุณยังลงทะเบียนธุรกิจที่มีหน้าร้านจริงกับ Google My Business เพื่อให้ข้อมูลธุรกิจในพื้นที่ของคุณปรากฏใน Google Maps และการ์ดข้อมูลได้อีกด้วย หมายเหตุ: ข้อมูลใน Google My Business จะถือว่าเชื่อถือได้
อ่านให้เนื้อหาของคุณอยู่ใน Google เพื่อดูวิธีอื่นๆ ในการลงทะเบียนข้อมูลทางธุรกิจกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Google
การเปิดใช้ฟีเจอร์ของ Search ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
คุณขอใช้งานฟีเจอร์บางอย่างได้โดยใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้างในหน้าเว็บ เช่น ดาวในการรีวิวและการ์ดสูตรอาหาร Google จะใช้งานฟีเจอร์บางอย่างได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องเขียนโค้ดใดๆ ในหน้าเว็บ เช่น ไซต์ลิงก์
หากต้องการใช้ฟีเจอร์การค้นหา ให้ทำดังนี้
- ใช้ตารางเพื่อช่วยเลือกฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับหน้าเว็บหรือเว็บไซต์ ฟีเจอร์บางอย่างใช้ได้กับเนื้อหาทุกประเภท (เช่น ชื่อเว็บไซต์ที่ต้องการจะใช้งานได้กับหน้าเว็บทุกประเภท) และผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์บางแบบใช้ได้กับเนื้อหาเฉพาะบางประเภท (เช่น การ์ดสื่อสมบูรณ์สำหรับสูตรอาหารใช้ได้กับสูตรอาหารเท่านั้น)
- อ่านข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบของลักษณะที่ปรากฏแต่ละองค์ประกอบเพื่อพิจารณาว่าเหมาะกับคุณหรือไม่
- ใช้ฟีเจอร์ตามที่อธิบายไว้ในเว็บไซต์ Google Developers นักพัฒนาควรตรวจสอบข้อมูลที่มีโครงสร้างโดยใช้เครื่องมือทดสอบผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลถูกต้องและสมบูรณ์ โปรดปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านคุณภาพของข้อมูลที่มีโครงสร้างเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาในหน้าเว็บและการใช้งานปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ หน้าเว็บที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์จะไม่มีสิทธิ์ใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้าง
- ใช้รายงานสถานะผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์ที่เหมาะสมเพื่อดูว่า Google ค้นพบและประมวลผลข้อมูลที่มีโครงสร้างได้หรือไม่
- ตรวจสอบรายงานสถานะผลการค้นหาที่เป็นสื่อสมบูรณ์เป็นระยะเพื่อหาข้อผิดพลาด ข้อมูลที่มีโครงสร้างที่เคยถูกต้องมาก่อนอาจเกิดข้อผิดพลาดได้โดยฉับพลัน หากคุณเปลี่ยนเทมเพลตเว็บไซต์หรืออาจเป็นผลจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอื่นๆ
- ตรวจสอบการคลิกและการแสดงผลสำหรับองค์ประกอบต่างๆ ในการค้นหา
ดูการพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลที่มีโครงสร้างในงาน Google I/O
การวัดประสิทธิภาพฟีเจอร์ของ Search
สำหรับฟีเจอร์ของ Search บางฟีเจอร์ คุณจะติดตามการเข้าชมของผู้ใช้ได้โดยตรงในรายงานประสิทธิภาพ หากต้องการตรวจสอบการเข้าชม ให้เลือกลักษณะที่ปรากฏในการค้นหาในรายงาน หากไม่เห็นตัวกรองสำหรับฟีเจอร์ที่ต้องการ ให้ทำดังนี้
- ปัจจุบันฟีเจอร์บางประเภทติดตามไม่ได้ อ่านเอกสารประกอบเพื่อดูว่าฟีเจอร์ใดบ้างที่ติดตามได้ใน Search Console
- Google ไม่พบอินสแตนซ์ใดๆ ของฟีเจอร์ดังกล่าวในเว็บไซต์ของคุณ
เปรียบเทียบผลที่ได้จากฟีเจอร์ของ Search
คุณอาจต้องการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของหน้าที่ใช้ฟีเจอร์การค้นหากับหน้าที่ไม่ใช้ฟีเจอร์การค้นหาเพื่อตัดสินใจว่าการใช้งานจะคุ้มค่าหรือไม่ วิธีที่ดีที่สุดในการดำเนินการดังกล่าวคือเรียกใช้การทดสอบก่อนและหลังกับหน้าเว็บส่วนหนึ่งในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งอาจเป็นเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยเนื่องจากการดูหน้าเว็บอาจแตกต่างกันไปสำหรับหน้าเว็บหนึ่งๆ ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน
- ใช้หน้าบางหน้าในเว็บไซต์ที่ไม่ได้ใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้างและมีข้อมูลอยู่ใน Search Console หลายเดือน โปรดเลือกหน้าเว็บที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากช่วงเวลานั้นๆ ของปีหรือจากการที่เนื้อหาของหน้าต้องแสดงตามเวลาที่กำหนด โดยใช้หน้าเว็บที่จะไม่เปลี่ยนแปลงมาก แต่ยังคงเป็นที่นิยมอ่านบ่อยพอที่จะสร้างข้อมูลที่สื่อความหมายได้
- เพิ่มข้อมูลที่มีโครงสร้างหรือฟีเจอร์อื่นๆ ลงในหน้าเว็บ ยืนยันว่าโค้ดของหน้าถูกต้องและ Google พบฟีเจอร์นั้นได้โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบ URL กับหน้านั้น
- บันทึกประสิทธิภาพเป็นเวลา 2-3 เดือนในรายงานประสิทธิภาพ แล้วกรองตาม URL เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของหน้าเว็บ